วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Airhostess


ไหนๆก็วีคสุดท่้ายแล้วววว
มาดูกันว่าอาชีพแอร์โฮสเตสเป็นยังไงงงงง
อะไรยังไง
จะได้มารู้กันในบล็อคนี้
ซึ่งเป็นอาชีพที่ฉันใฝ่ฝันมากมายยยยยยย
ฉันจะต้องเป็นให้ได้
♥♥♥♥
เอาใจช่วยด้วยนะคะอิอิ
ก่อนอื่นเราก็ต้องมารู้คุณสมบัคิว่าจะไปเป็นได้อย่างไรกันก่อนนะคะ

คุณสมบัติที่จะนำไปสู่การเป็นแอร์โฮสเตส


--> คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ 

แอร์โฮสเตส และ สจ๊วต เป็นอาชีพที่ให้บริการแก่ผู้โดยสาร ฉะนั้น ผู้ที่ประกอบอาชีพทางด้านนี้ ยังควรมีคุณสมบัติต่างๆ เช่น 
มีบุคลิกดี ยิ้มง่าย ใจเย็น อ่อนหวาน และต้องมีเชาว์ไหวพริบ กล้าตัดสินใจกรณีมีเหตุฉุกเฉิน ผู้หญิงสูง 160 เซนติเมตรขึ้นไป ผู้ชายสูง 165 เซนติเมตรขึ้นไป รูปร่างสมส่วน ไม่อ้วนไม่ผอมจนเกินไป สายตาใช้การได้ดี ต้องไม่สวมแว่น แต่ถ้าสายตาสั้นเล็กน้อย หาคอนแทคเลนส์ใส่ได้ ส่วนเรื่องหน้าตา เน้นหน้าตารับแขกมากกว่าความสวยงามหรือสรุปเป็น ดังนี้

การเตรียมความพร้อมก่อนปฏิบัติการบิน
จาก การที่ได้เข้าเยี่ยมชมศูนย์ลูกเรือ (Crew center)  ที่อาคารศูนย์ปฏิบัติการ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เห็นได้ชัดเจนว่า เน้นเรื่องความปลอดภัยอย่างรัดกุม และมีการเตรียมความพร้อมของพนักงานก่อนปฏิบัติการบินเพื่อการให้บริการอย่าง มีประสิทธิภาพ โดยพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะต้องมาถึงที่ศูนย์ลูกเรือ (Crew center) อย่างน้อย 2 ชั่วโมง ก่อนเวลา Deperture Time ของเที่ยวบินเพื่อมาฟังการสรุปข้อมูล (Briefing) เกี่ยวกับ Emergency ขั้นตอนการบริการ รวมทั้งรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีการกำหนดหน้าที่การปฏิบัติงานอย่างชัดเจน
คุณสมบัติของผู้สนใจสมัครตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
จำนวน อัตราที่ ต้องการรับสมัครในตำแหน่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และการกำหนดระยะเวลาการจ้างของพนักงานขึ้นกับนโยบายของบริษัท ส่วนข้อมูลคุณสมบัติเบื้องต้นที่มีการกำหนดที่ผ่านมามีดังต่อไปนี้
คุณสมบัติทั่วไป
ผู้สมัครหญิง
- สัญชาติไทย สถานภาพโสด
- อายุไม่เกิน 26 ปี
- ความสูงไม่น้อยกว่า 160 เซนติเมตร และน้ำหนักต้องได้สัดส่วนกับความสูง
- สามารถว่ายน้ำได้อย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 50 เมตร โดยต้องว่ายท่าฟรีสไตล์ได้ด้วย

ผู้สมัครชาย
- สัญชาติไทย สถานภาพโสด ผ่านหรือได้รับการยกเว้นการเกณฑ์ทหาร ตามระเบียบของทางราชการแล้ว
- อายุไม่เกิน 28 ปี
- ความสูงไม่น้อยกว่า 165 เซนติเมตร และน้ำหนักต้องได้ส่วนกับความสูง
- สามารถว่ายน้ำได้อย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 100 เมตร โดยต้องว่ายท่าฟรีสไตล์ได้ด้วย

คุณสมบัติอื่น
- วุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ไม่จำกัดสาขา ผู้สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศต้องมีหนังสือรับรองการเทียบวุฒิจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษามาแสดงพร้อมกันด้วย
- ผ่านการทดสอบข้อเขียนภาษาอังกฤษ Test of English for International Communication (TOEIC) 600 คะแนนขึ้นไป หรือ Test of English as a Foreign Language (TOEFL) 500 คะแนนขึ้นไป หรือ
- International English Language Testing System (IELTS) 5.5 คะแนนขึ้นไป ผลการทดสอบข้อเขียนภาษาอังกฤษดังกล่าวต้องไม่เกิน 2 ปี นับถึงวันที่ยื่นใบสมัคร
- มีความรู้ความสามารถในการพูดและเข้าใจภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี และ หากมีความสามารถในการสื่อสารภาษาต่างประเทศอื่นนอกเหนือจากภาษาอังกฤษด้วย โดยเฉพาะภาษาจีน ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาเลียน ญี่ปุ่น และสเปน จะเป็นประโยชน์ในการพิจารณา
- สุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง ไม่สวมแว่นสายตา
- มีมนุษย์สัมพันธ์ดี มีความกระตือรือร้น เอาใจใส่ และรักงานบริการ
- มีบุคลิกภาพดีและเหมาะสมในการเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน




--> การทำงาน 

การทำงานของแอร์โฮสเตสและสจ๊วตนั้น เป็นเวลาที่ไม่แน่นอนไม่เลือกกลางวันหรือกลางคืน ขึ้นอยู่กับเที่ยวบินหรือสายการบินที่จะเดินทาง ว่าจะออกกี่โมงและในการเดินทางแต่ละครั้งทั้งสจ๊วต และแอร์โฮสเตสจะต้องกำหนดเวลาในการเดินทางไปสนามบินเผื่อไว้ทุกครั้ง โดยจะต้องเดินทางไปถึงสนามบินก่อนเครื่องบินออกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อเตรียมตัวและไม่ตกเครื่องบิน แอร์โฮสเตสและสจ๊วตจึงต้องเป็นผู้มีความรับผิดชอบอยู่สูง 



-->การเตรียมตัว

ภาษาอังกฤษเป็นหลัก วุฒิการศึกษาจบ ม.6 ทั้งสายวิทย์หรือศิลป์ แต่ 90% ของผู้สมัคร มักจบปริญญาตรีขึ้นไป อาจเพราะผู้ผ่านการศึกษาระดับนี้ มีประสบการณ์มากกว่า


ด้านสุขภาพที่อาจส่งผลในอนาคต



    เครื่องบินสมัยนี้ สะดวกสบายและทันสมัยจนผู้โดยสาร (ซึ่งมีเบาะนุ่มๆ รองก้นอยู่ด้วย) แทบจะไม่รู้สึกถึงความสั่นสะเทือนขณะเครื่องบินลอยเท้งเต้งอยู่บนฟ้า  แต่แอร์โอสเตสและสจ๊วตซึ่งเดินไปเดินมา ถ้าไม่ถือกาใส่ชากาแฟหนักไม่ต่ำกว่า ๒ กิโลกรัม ก็ต้องเข็ดคาร์ดใส่อาหารและเครื่องดื่มมาเต็มอัตราจะรู้ว่า พื้นเครื่องบินมันไม่ได้อยู่นิ่งให้เดินเหินไปมาได้สะดวก งานบริกการบนเครื่องบินจึงเหนื่อยล้าง่ายกว่าบนพื้นปกติ
 ถ้าอยู่ๆ เครื่องบินสั่นหรือกระตุกขึ้นมาอย่างแรงโดยไม่มีการเตือน  พวกเขามีสิทธิ์ได้รับอันตรายอย่างยิ่ง ถ้าทรงตัวได้ก็อาจจะแค่น้ำหก ล้ม กระแทกนิดหน่อย  แต่บางคนโชคร้าย ถึงขนาดรถเข็นล้มทับขา  หนักหน่อยก็แค่ลอยขึ้นไปกระแทกเพดานบิน แล้วหล่นอั๊กลงมา
 สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้กับแอร์โฮสเตส แต่จะไม่เกิดขึ้นกับผู้โดยสารหากจังหวะนั้น ไม่ลุกขึ้นเดินไปเดินมา
 "ถ้าเทอบูแลนซ์หนักๆ เครื่องจะส่ายอย่างแรงเหมือนคลื่นยักษ์มา ทุกคนต้องนั่งอยู่กับที่ รัดเข็มขัด ไม่งั้นเราอาจจะจะลอยติดเพดานเหมือนเพื่อนเราเคยเจอ กาแฟร้อนๆ สาดโดนผู้โดยสาร แอร์ฯเจ็บตัว บริษัทก็ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลให้ผู้โดยสาร ถ้าเขาเข้าใจไม่ถือโทษก็ดี แต่บางคนก็ไม่เข้าใจ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ เพราะการเทอบูแลนซ์มันไม่ใช่ความผิดของเรา" แอร์โฮสเตสสายการบินไทยเล่าเหตุเทอบูแลนซ์สดๆ ร้อนๆ ที่ฮ่องกงให้ฟัง












 เทอบูแลนซ์ (Turbulence ) คือการที่เครื่องบินตกหลุมอากาศเพราะอากาศแปรปรวน เกิดเมื่อไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและความหนาแน่นของก้อนเมฆ  ปรกติเรด้าจะจับสัญญาณได้ นักบินก็จะประกาศเตือนว่าอีกสักครู่เครื่องจะตกหลุมอากาศ เครื่องจะสั่นสะเทือนเล็กน้อยไม่ต้องตกใจ หรือว่าต้องนั่งรัดเข็มขัดและเก็บของให้ดี หากรู้ก่อนล่วงหน้าอย่างนี้มักจะไม่มีอันตราย แต่ถ้าเป็นแบบ  tower turbulence คือมีก้อนเมฆที่เป็นรูปแท่งเหมือนหอคอยอยู่ข้างหน้า ซึ่งเรด้าจับไม่ได้จึงจะไม่มีสัญญาณเตือน ถ้าเครื่องบินบินผ่านจะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาชน  ตึ้ง!! เครื่องจะสะบัดอย่างแรง ข้าวของอาจกระจุยกระจายได้  เพราะฉะนั้น เวลาทำงานแอร์โฮสเตสต้องตระหนักว่า อย่าไว้ใจเรด้าทั้งหมด อาจจะมีทาวเวอร์ เทอบูแลนซ์รออยู่ข้างหน้าก็ได้
 "เห็นฟ้าแลบแปลบๆอยู่ข้างนอกเราก็กลัวเหมือนกัน ท่องนะโมสุดฤทธิ์ แต่ปอดแหกให้ผู้โดยสารเห็นไม่ได้  ต้องทำให้เขามั่นใจว่ามันปลอดภัย อาจจะจับมือปลอบว่าเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ เดี๋ยวก็หาย เขาก็จะรู้สึกอุ่นใจขึ้น ทั้งที่บางทีเราก็รู้ว่ามันไม่ธรรมดาและเราก็กลัวเหมือนกัน"
ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินจริงๆ เช่น ต้องเอาเครื่องลงจอดกะทันหัน แอร์โฮสเตสต้องรู้ว่าประตูมีทั้งหมดกี่ประตู  ถ้าจอดบนพื้นใช้ประตูไหน ถ้าจอดบนผิวน้ำต้องเปิดประตูไหน ถ้าเกิดไฟไหม้ มีควัน ต้องทำอย่างไร สมตติว่าผู้โดยสาร ๓๐๐ กว่าคน ลูกเรือ ๘-๑๐ คน ต้องเอาเขาพร้อมตัวเองออกไปอย่างปลอดภัยให้ได้ภายใน ๑ นาทีครึ่ง หากก็ต้องช่วยชีวิตเบื้องต้น เช่น  ผายปอด ปั๊มหัวใจ ทำคลอด ดามกระดูก ฯลฯ แอรโฮสเตสก็ต้องทำได้ด้วย  กรณีที่อาการหนักจริงๆ เกินกำลังที่จะช่วยได้ก็สามารถประกาศหาหมอหรือพยาบาลที่อาจจะโดยสารมากับเที่ยวบินนั้น ส่วนใหญ่มักจะโชคดีมีหมอหรือพยาบาลอยู่ด้วยเสมอ  แต่ถ้าไม่มีจริงๆ กับตันจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเอาเครื่องลงหรือไม่  และหากเป็นเหตุสุดสุดวิจัย ผู้โดยสารเสียชีวิตระหว่างการเดินทาง แอร์โฮสเตสก็ต้องทำหน้าที่เป็นป่อเต็กตึ๊ง จัดการห่อศพ มัดให้เรียบร้อย
เราไม่มีตู้แช่เย็นก็ต้องใช้ผ้าห่มหลายๆ ชั้นพันศพไว้กันน้ำเหลืองซึมออกมา ระหว่างนั้นก็ติดต่อตำรวจสนามบินให้มารอรับ

    ด้วยเหตุนี้เองทั้งแอร์โฮสเตสและสจ๊วต จะต้องกลับไปเรียนเพิ่มเติมและทบทวนทั้งเรื่อง safety, emergency และ first aid ที่ศูนย์ลูกเรือทุกปี
เริ่มจะเห็นแล้วใช่ไหมว่า  อาชีพนี้ไม่ได้สวยงาม เลิศหรู แตยังมีอะไรที่เราไม่รู้ และแม้แต่แอร์โฮสเตสเองก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอยู่ข้างหน้าบ้าง


อนาคตที่รออยู่ข้างหน้า

 การต้องทำงานบนที่สูงซึ่งสภาวะอากาศไม่ปรกติ ทำงานไม่เป็นเวลา เวลากินก็ไม่ได้กิน เวลานอนก็ไม่ได้นอน แถมยังเดินทางข้ามทวีปเป็นว่าเล่น วันนี้อยู่กับอากาศร้อน พรุ่งนี้อยู่เมืองที่หิมะตก  สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ มากกว่าพวกเราที่ทำงานบนพื้นโลก  คนที่ทำงานเป็นแอร์โฮสเตสมาได้สักระยะหนึ่งจะเข้าใจคำพูดว่าที่ "นี่คืออาชีพขายสุขภาพแบบผ่อนส่ง" ได้ดี



 Jet lag คือ หรือภาวะเมาอากาศ ความอ่อนล้าของร่างกายหลังจากการบินเป็นระยะทางไกล ผ่านเขตแบ่งเวลาต่างๆ ทำให้ระบบร่างกายเกิดความสับสน รวนเร หรือน๊อคไปเลยนั่นเอง ปรกติถ้าเราเดินทางข้ามเขตแบ่งเวลา ๑ time zone เราต้องพักผ่อน ๑ วันให้ร่างกายได้พักฟื้นและปรับตัว 
 "ลูกเรือที่ปรับตัวไม่ได้ ไม่ชินอาจจะนอนไม่หลับ  โดยเฉพาะเวลาไปบินไฟล์ที่เวลาท้องถิ่นของประเทศเขาต่างกับบ้านเรามากๆ จากงานวิจัยเบื้องต้นเราพบว่าลูกเรือ ๖๐ เปอร์เซ็นต์เจอปัญหาคุณภาพการนอนไม่ดี ทำให้ร่างการอ่อนล้าสะสม ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคอื่นๆ อีกมาก" ณนัควรรต บัวทอง ซึ่งทำกำลังทำงานวิจัยเกี่ยวกับปัญหาการนอนกับสุขภาพของอาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกล่าว  ในต่างประเทศมีงานศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบจากการทำงานของคนอาชีพนี้อยู่มากมาย  แต่ในประเทศไทยแทบจะไม่มีการศึกษาอย่างจริงจังเลยก็ว่าได้  จากการวิจัยเบื้องต้นของคุณอัฐซึ่งเก็บข้อมูลโดยตรงกับเพื่อนร่วมอาชีพด้วยกันเองนั้นพอจะสรุปได้ว่า โรคที่เป็นเหมือนเงาติดตามแอร์โฮสเตสและสจ๊วตมีดังต่อไปนี้
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ - โดยมารยาทถ้าผู้โดยสารและแอร์โฮสเตสจะใช้ห้องน้ำพร้อมกัน แอร์โฮสเตสให้ผู้โดยสาร (ไม่ว่าคิวยาวเท่าไร) ก่อน ยิ่งถ้าเป็นไฟล์ทที่สับสนอลหม่านอย่างไฟล์ทอินเดีย อยากเข้าห้องน้ำแค่ไหนก็ต้องกลั้นไว้ สภาพการณ์เหล่านี้เองทำให้โรคนี้มาเยือนแอร์โฮสเตสกันถ้วนหน้า
 กล้ามเนื้ออักเสบ -- เป็นปัญหาพื้นฐานที่แทบทุกคนจะได้เจอ เพราะต้องยกของหนัก กาของชากาแฟถือไว้นานๆ เป็นต้นเหตุของกล้ามเนื้ออักเสบ
 โรคระบบทางเดินหายใจ เป็นหวัด -- การต้องอยู่กับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การบินข้ามทวีปบ่อยๆ ทำให้นอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เต็มที่ เป็นผลให้ร่างกายอ่อนแอ ขาดภูมิคุ้มกัน  รักจะทำอาชีพนี้ต้องรักดูแลสุขภาพและออกกำลังกายให้แข็งแรงพร้อมเผชิญกับสภาพอากาศที่ผีเข้าผีออกอยู่เสมอ เพราะถ้าเป็นหวัดขึ้นมาก็ไม่สามารถไปบินได้
 โรคมะเร็ง -- ต่างประเทศมีการศึกษาพบว่า ลูกเรือมีโอกาสเป็นมะเร็งสูงมากกว่าคนอาชีพอื่นเพราะได้รับรังสีมากกว่าคนที่อยู่ข้างล่าง นอกจากนี้ เรื่องอาหารการกินที่ไม่มีสิทธิ์เลือกมากนักลูกเรือต้องพึ่งพาอาหารบนเครื่องที่ต้องเอาเข้าไมโครเวฟและยังทานแบบไม่เป็นเวลา การนอนที่ไม่สามารถกำหนดเวลาได้ ความเครียดจาการทำงาน ที่มีต้นเหตุจากทั้งผู้โดยสาร เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า หรือแม้แต่ความเครียดเพราะต้องห่างบ้าน เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งทั้งสิ้น


ซลล์สมองเสื่อม -- คนที่ทำงานในเครื่องบินซึ่งต้องอยู่ในที่ๆ มีปริมาณออกซิเจนน้อยกว่าปรกติ มีความกดอากาศที่ไม่ปรกติ  ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจน เป็นโรคขี้หลงขี้ลืมได้ง่าย
 โรคระบบการย่อยอาหาร ( Gastro Internal Reflux ) -- ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าแอร์โฮสเตสและสจ๊วตตอนอยู่บนเครื่องจะท้องป่องกันเป็นแถวๆ  ทั้งนี้ มีสาเหตุจาก ความกดอากาศ  การทานอาหารแบบรีบๆ ขณะปฏิบัติหน้าที่ทำให้อาหารไม่ย่อย และทานอาหารผิดเวลาอยู่เป็นประจำทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อนั่นเอง
 เยาวลักษณ์ นาคีสถิตย์  สมาคมพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ศึกษาเกี่ยวกับอาชีวะอนามัยของลูกเรือ ให้ข้อมูลว่า  บนเครื่องบินนั้นเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคเพราะผู้โดยสารเดินทางมาจากทั่วสารทิศ เราไม่รู้ว่าใครเป็นโรคอะไรอยู่บ้าง แต่ต้องมาอยู่รวมกันในที่แคบๆ และภาวะอากาศไม่ปรกติทำให้เชื้อโรคต่างๆ วนเวียนอยู่ในนั้น
 "อุบัติเหตุหรือความไม่ปลอดภัยในการทำงานมีสองแบบคือ unsafe action หมายถึงความไม่ปลอดภัยที่เกิดจากการกระทำของตัวเอง พูดง่ายๆ ว่าเกิดจากความประมาทนั่นเอง และ unsafe condition คือสภาพที่ไม่ปลอดภัย การทำงานบนเครื่องบิน มีความเสี่ยงตลอดเวลา  ทั้งจากแรงสั่นสะเทือน ประตูต่างๆ สามารถเปิดเองได้ถ้าไม่ล๊อคให้สนิทจริงๆ  เครื่องไม้เครื่องมือทีไม่เหมาะสม ทำงานในที่แคบ มีกับเวลาที่จำกัด เดี๋ยวก็ชนกัน เปิดของตู้นี้อาจจะตกลงหัวเพื่อนได้  นี่คือสภาพที่ไม่ปลอดภัย"
 ดูเหมือนว่าคนในอาชีพนี้จะไม่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้กันสักเท่าไร สมาคมลูกเรือจึงเกิดขึ้นมาเพื่ออยากให้คนในวิชาชีพนี้ตะหนักในบทบาทและสิทธิของตัวเอง และสร้างภาพลักษณ์ให้กับสังคมทั่วไปได้เข้าใจว่า แอร์โฮสเตสไม่ใช่แจ๋วลอยฟ้า แต่งานของพวกเขาคือการดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสาร 

 "ปัจจัยที่เป็นอันตรายกับการทำงาน มีทั้งเรื่องทางกายภาพเช่น แสง เสียง ความกดอากาศ บางทีพวกเราอยู่บนเครื่องจะพูดเสียงดังโดยไม่เราไม่รู้ตัว  เรื่องสารเคมีที่เราใช้บนเครื่องบินเช่น สเปรย์และ ยาฆ่าแมลงทั้งหลาย อย่างไปประเทศอังกฤษ ออสเตรเลียฉีดยาฆ่าแมลง เพราะเขาไม่ให้แมลงต่างประเทศเข้าไป เราต้องเป็นคนฉีด เพราะฉะนั้นเราก็จะได้รับสารเคมีเหล่านี้สะสมอยู่ในร่างกาย เรื่องชีวภาพเช่น ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อโรคต่างๆ ที่สะสมอยู่บนเครื่อง เรื่องอุปกรณ์การทำงานที่ไม่เหมาะ

ก็ประมาณนี้ค่ะ ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ หวังว่าคงได้ประโยชน์กันไปไม่มากก็น้อย
คือว่าฉันก็ไม่ค่อยรู้ข้อมูล
เท่าไหร่หรอก
แต่ว่า
ฉันว่าฉันมีความสามารถพอที่จะเป็น
จากการที่กล่าวมาข้างต้น
แม้ภาษาจะไม่ได้ดีมากมาย
https://sites.google.com/site/mamixzer/kar-dulae-sukhphaph-khxng-xaer-hostes

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

8 : Notepad

วันนี้เดี๊ยนจะมารีวิว โปรแกรมนะฮ้าาาาาาาาาาาาา ที่เจ๊จะรีวิวก็คือ โปรแกรม Notepad นั่นเองจ้าาาาา มันเป็นโปรแกรมพื้นฐานที่ทุกเครื่องต้องมี

เปิดมาจะเจองี้นะจร้าาาาาาาาก็สามารถพิมอะไรไปได้เลย ส่วนแท็บแรกคือแท็บ File ก็สามารถสั่งโปรแกรมนี้เปิด ปิด เปิดไฟล์ เซฟไฟล์ ปริ้นได้ ส่วนต่อมาคือ Edit ก็จะเป็นเรื่องการแก้ไข เช่น ก็อปปี้ วาง ลบ ย้อนกลับ เลือกทั้งหมดเป็นต้น ต่อมาจะเป็นแท็บ Format ก็จะจัดการเกี่ยวกับฟ้อนในโปรแกรมนี้ ถ้าฟ้อนเล็กไปก็สามารถปรับในนี้ได้ ถ้าฟ้อนไม่สวยก็ปรับได้ตรงนี้เช่นกัน ส่วนแท็บ View คือแท็บที่เอาไว้เลือกสเตตัส บาร์ ว่าจะให้มีหรือไม่มี ส่วนแท็บสุกท้ายคือ Help คือแท็บที่ช่วยเหลือในการใช้งานโปรแกรม

ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้คร่า มันอาจจะไม่ยาวนะคะ แต่เนื้อหาเอามาแต่เนื้อๆค่ะ ขอให้สนุกกับการเขียนนะคะ 
ปล.โปรแกรมนี้สามารถใช้เขียนได้เกือบทุกอย่างบนโลกนี้

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week 7 : คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

วันนี้จะมาพูดถึงคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์นะคะ คือมันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับฉันเลยค่ะ ฉันจึงต้องขอรบกวนเว็บไซต์ต่างๆในการศึกษาหาข้อมูล หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะคะ ♥
คอมพิวเตอร์ (อังกฤษcomputer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์ เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย
คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป
หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่าง ๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน
คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit) โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินบังคับ และของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม
ไอบีเอ็ม โรดรันเนอร์ - ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในโลกผลิตโดยไอบีเอ็มและสถาบันวิจัยแห่งชาติลอสอะลาโมส (2551)

 เครือข่ายคอมพิวเตอร์
                 การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทและความสำคัญเพิ่มขึ้น เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกับเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบให้สูงขึ้น เพิ่มการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง มีการแบ่งใช้งานอุปกรณ์และข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนสามารถทำงานร่วมกันได้
สิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบข้อมูลมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น คือ การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกัน และการเชื่อมต่อหรือการสื่อสาร การโอนย้ายข้อมูลหมายถึงการนำข้อมูลมาแบ่งกันใช้งาน หรือการนำข้อมูลไปใช้ประมวลผลในลักษณะแบ่งกันใช้ทรัพยากร เช่น แบ่งกันใช้ซีพียู แบ่งกันใช้ฮาร์ดดิสก์ แบ่งกันใช้โปรแกรม และแบ่งกันใช้อุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีราคาแพงหรือไม่สามารถจัดหาให้ทุกคนได้ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นเครือข่ายจึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กว้างขวางและมากขึ้นจากเดิม
การเชื่อมต่อในความหมายของระบบเครือข่ายท้องถิ่น ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การเชื่อมต่อระหว่างเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ แต่ยังรวมไปถึงการเชื่อมต่ออุปกรณ์รอบข้าง เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้การทำงานเฉพาะมีขอบเขตกว้างขวางยิ่งขึ้น มีการใช้เครื่องบริการแฟ้มข้อมูลเป็นที่เก็บรวบควมแฟ้มข้อมูลต่างๆ มีการทำฐานข้อมูลกลาง มีหน่วยจัดการระบบสือสารหน่วยบริการใช้เครื่องพิมพ์ หน่วยบริการการใช้ซีดี หน่วยบริการปลายทาง และอุปกรณ์ประกอบสำหรับต่อเข้าในระบบเครือข่ายเพื่อจะทำงานเฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง ในรูป เป็นตัวอย่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดกลุ่มเชื่อมโยงเป็นระบบ

ตัวอย่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดกลุ่มอุปกรณ์รอบข้างเชื่อมโยงเป็นระบบ
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ก่อให้เกิดความสามารถในการปฎิบัติการร่วมกัน ซึ่งหมายถึงการให้อุปกรณ์ทุกชิ้นที่ต่ออยู่บนเครือข่ายทำงานร่วมกันได้ทั้งหมดในลักษณะที่ประสานรวมกัน โดยผู้ใช้เห็นเสมือนใช้งานในอุปกรณ์เดียวกัน จึงเป็นวิธีการในการนำเอาอุปกรณ์ต่างชนิดจำนวนมาก มารวมกันเป็นเสมือนระบบเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่อุปกรณ์เหล่านั้นอาจจะมาจากต่างยี่ห้อ ต่างบริษัท ก็ได้

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก

ด้วยนะคะ แล้วมาพบกันใหม่ในอาทิตย์หน้า สวัสดีค่ะ

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 5 : น้ำหอมกับผู้หญิง

เชื่อว่าสาวๆหลายคนขาดน้ำหอมไม่ได้ แต่น้ำหอมที่สาวๆจะใช้นั้น ต้องมีกลิ่นที่พึงพอใจตามรสนิยมของตัวเอง ดิฉันก็เช่นกัน 5555555 ดิฉันเป็นคนนึงที่ขาดน้ำหอมไม่ได้เลย ถ้าขาดน้ำหอมไปแล้วจะรู้สึกขาดความมั่นใจ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาพูดถึง Top 20 น้ำหอม ยอดนิยม สำหรับผู้หญิง สำหรับส่วนต่อจากนี้ขออนุญาติ อ้างอิงจากเว็บอื่น เชิญรับชมได้เลยจ้าาาาาาา
10. Burberry Brit For Women

เป็นน้ำหอมที่สามารถดึงเอาเสน่ห์ของหญิงสาวออกมา ให้สัมผัสได้ถึงความน่ารัก อ่อนหวาน สดใส ร่าเริง ได้ทันทีด้วยกลิ่นหอมหวาน มีเสน่ห์ที่ติดตราตรึงใจ



9. Estee Lauder Pleasures

น้ำหอมกลิ่นหอมบางเบา เริงร่า มีชีวิตชีวา เรียบง่ายเป็นน้ำหอมในโทนกลิ่นหอมอ่อนๆ แบบ Sheer Floral ของดอกไม้อบอุ่นภายใต้แสงแดดอ่อนบาง ถูกสร้างสรรค์ขึ้นให้เป็นน้ำหอมโทนกลิ่นใหม่ ที่เป็นตัวแทนของความสุขและรื่นเริงใจที่เงียบง่ายในแบบฉบับที่คุณสามารถค้นพบได้ทุกวัน



8. CHRISTIAN DIOR Miss Dior Cherie

โดยกลิ่น หอมที่คลาสิกนี้จะสื่อให้เห็นถึง การเป็นเด็กสาวที่ซุกซน แต่ก็แฝงไปด้วยความน่ารัก อ่อนหวานและเป็นตัวของตัวเองจากการผสมผสานของ กลิ่นส้มจีนเขียว เชอร์เบทและสตอเบอร์รี่ป่า




7. Flower by Kenzo

รุ่นนี้ถือเป็นน้ำหอมรุ่นยอดนิยมและสร้างชื่อให้กับ Kenzo เลย ก็ว่าได้ เพราะทั้งความหอมของกลิ่น และทั้งความหวานของขวดเลยทำให้สาวๆต่างเทใจให้เต็มที่บอกได้คำเดียว “ต้องมี” ให้ความหอมเซ็กซี่แบบตะวันออกที่คลาสสิค จากดอกกุหลาบบัลแกเรียน ผสมไวท์ มัสก์ ขวดนี้หอมทนนานดี



6. Clinique Happy for Women

น้ำหอมที่ให้กลิ่นหอมอ่อนโยนจากดอกไม้นานาชนิด และด้วยกลิ่นหอมอันนี้เองจะทำให้ตัวคุณพร้อมกับคนรอบข้าง มีความสนุกสนาน ร่าเริง และมีความสุข จนได้ชื่อว่า Clinique Happy นั่นเอง



5. Issey Miyake L’Eau D’Issey

กลิ่นหอมหวานของมวลดอกไม้ กลิ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดด้วยกลิ่น ดอกไม้อ่อนๆ ผสมกับกลิ่นดอกลิลลี่ คาร์เนชั่นเหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน กลิ่นไม่ฉุน



4. Calvin Klein Eternity women

กลิ่นหอมเย้ายวนใจ กลิ่นหอมดอกไม้ โดดเด่นด้วยกลิ่นลิลลี่ กลิ่นหอมแบบลึกล้ำและมีเสน่ห์ของหญิงสาว จนดึงดูดหนุ่มๆให้เข้ามาใกล้แบบไม้รู้ตัวเลยล่ะ




3. Lancome Miracle

เป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมหวานในสไตล์ของสาวโรแมนติก และยังทำให้คุณดูมีชีวิตชีวา ดุจเวทมนต์ที่สะกดเหล่าคุณผู้ชายทั้งหลายให้ตกอยู่ในภวังค์




2. CK one

น้ำหอมกลิ่นโปรดของสาวๆหลายคน เป็นกลิ่นหอมที่มีเสน่ห์ดึงดูด มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งผสมผสานไปด้วยกลิ่นของผลไม้หลากหลายชนิด เป็นน้ำหอมกลิ่นยอดฮิตอีกหนึ่งในตระกูล CK ความหอมที่หลายคนชื่นชอบเลยล่ะ



1. DKNY Green Delicious

น้ำหอมที่มีกลิ่นหอมของแอปเปิ้ลเขียว ซึ่งกลิ่นนี้จะเหมาะกับคุณ ผู้หญิงที่มีชีวิตชีวา… โดยให้ความหอมแบบเบาๆใน concept ของสาวน้อยไร้เดียงสาแต่แฝงไปด้วยความเซ็กซี่และมีชีวิตชีวา








ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามชมนะคะ ขอให้มีความสุขกับ blog ของฉันต่อไปนะคะ ♥

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 4 : ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (JAVA)

ภาษา JAVA
สวัสดีค่าาาทุกคนที่เข้ามาชมบล็อกทุกคน  นี่ก็เป็นบล็อกครั้งที่ 4 แล้วที่เข้ามาเขียนบล็อกและในครั้งนี้นะคะ เดี๊ยนจะมาทำความรู้จักกับภาษาจาวา ซึ่งพอพูดถึงจาวาเพื่อนๆก็จะคิดถึงเกมส์ต่างๆ แต่เพื่อนๆอาจจะพึ่งรู้ว่าจาวานั้นเป็นภาษาที่ไว้เขียนโปรแกรมไม่ได้เขียนเกมส์ และในครั้งนี้ผมจะพาทุกคนเข้ามารู้จักภาษาจาวากันนะคคะ
พร้อมกันรึยังงงคะ
ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลยยยยยยยยยยยยยยยยค่ะ

Java คืออะไรกันนะ ???
Java หรือ Java programming language คือภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ พัฒนาโดย เจมส์ กอสลิง และวิศวกรคนอื่นๆ ที่บริษัท ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ภาษานี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้แทนภาษาซีพลัสพลัส C++ โดยรูปแบบที่เพิ่มเติมขึ้นคล้ายกับภาษาอ็อบเจกต์ทีฟซี (Objective-C) แต่เดิมภาษานี้เรียกว่า ภาษาโอ๊ก (Oak) ซึ่งตั้งชื่อตามต้นโอ๊กใกล้ที่ทำงานของ เจมส์ กอสลิง แล้วภายหลังจึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อ จาวาซึ่งเป็นชื่อกาแฟแทน จุดเด่นของภาษา Java อยู่ที่ผู้เขียนโปรแกรมสามารถใช้หลักการของ Object-Oriented Programming มาพัฒนาโปรแกรมของตนด้วย Java ได้
ภาษา Java เป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ ( OOP : Object-Oriented Programming) โปรแกรมที่เขียนขึ้นถูกสร้างภายในคลาส ดังนั้นคลาสคือที่เก็บเมทอด (Method) หรือพฤติกรรม (Behavior) ซึ่งมีสถานะ (State) และรูปพรรณ (Identity) ประจำพฤติกรรม (Behavior)

 ดังนั้น Java  คือภาษาคอมพิวเตอร์ สำหรับเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ นั่นเองค่ะ


แล้วภาษา JAVA มีประวัติความเป็นมายังไงกัน ??
ภาษาจาวา เป็นภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุที่พัฒนาขึ้นโดย  “เจมส์ กอสลิง”   และทีมวิศวกรของเขา ซึ่งบริษัทซันไมโครซิสเต็ม ต้องการนำภาษาจาวามาใช้แทนภาษา  C++  ชื่อของ จาวามาจากชื่อกาแฟที่ทีมวิศวกรของซันดื่มตอนที่ร่วมกันพัฒนาภาษาจาวาขึ้นมา  Java  ถูกคิดค้นและสร้างโดย บริษัท Sun Microsystems ซึ่งเป็นบริษัทผู้ขายระบบ Unix ที่มีชื่อว่า Solaris ซึ่งจุดเด่นของภาษา Java อยู่ที่ผู้เขียนโปรแกรมสามารถใช้หลักการของ Object-Oriented Programming มาพัฒนาโปรแกรมของตนด้วย Java ได้ พัฒนาขึ้นโดยทีมวิจัยของ บริษัท ซันไมโครซิสเต็ม (Sun Microsystems)พัฒนามาจากโครงการที่ต้องการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์เพื่อควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กภายในบ้านชื่อเดิมคือภาษา Oak ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาจาวาภาษาจาวาเริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายในปี ค.ศ. 1995ภาษาจาวาเป็นภาษาที่ไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์ม (platform independent)JDK 1.0 ประกาศใช้เมื่อปี1996JDK เวอร์ชันปัจจุบันคือ Java 2
นี่ก็คือ : เจมส์ กอสลิง  ผู้ให้กำเนิดภาษา JAVA


วิวัฒนาการของภาษาจาวาจากรุ่นแรกถึงจาวา1.5
1.  (ค.ศ. 1996) — ออกครั้งแรกสุด
2.  (ค.ศ. 1997) — ปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเพิ่ม Inner Class
3.  (4 ธันวาคม ค.ศ. 1998) — รหัส Playground ด้านจาวาแพลตฟอร์มได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน API และ JVM (API สำคัญที่เพิ่มมาคือ Java Collections Framework และ Swing; ส่วนใน JVM เพิ่ม JIT Compiler) แต่ตัวภาษาจาวานั้น เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย (เพิ่มคีย์เวิร์ด strictfp) และทั้งหมดถูกเรียกชื่อใหม่ว่า จาวา 2″ แต่ระบบเลขรุ่นยังไม่เปลี่ยนแปลง
4.  (8 พฤษภาคม ค.ศ. 2000) — รหัส Kestrel แก้ไขเล็กน้อย
5.  (13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2002) — รหัส Merlin เป็นรุ่นที่ถูกใช้งานมากที่สุดในปัจจุบัน (ขณะที่เขียน ค.ศ. 2005)
6.  (29 กันยายน ค.ศ. 2004) — รหัส Tiger (เดิมทีนับเป็น 1.5) เพิ่มคุณสมบัติใหม่ในภาษาจาวา เช่น Annotations ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันว่านำมาจากภาษาซีชาร์ป ของบริษัทไมโครซอฟท์, Enumerations, Varargs, Enhanced for loop, Autoboxing, และที่สำคัญคือ Generics

การพัฒนาการในช่วงเวลาต่าง ๆ
ถูกพัฒนาตั้งแต่ปี 1991 โดยบริษัท Sun Microsystems ซึ่งเป็น ส่วนหนึ่งของ Green Project
Write Once Run Anywhere
ค.ศ.1991
บริษัท ซันไมโครซิสเต็ม (Sun Microsystems) ได้ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์เล็กทรอนิคส์ขนาดเล็ก ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่สำคัญคือ ภาษาโอ๊ค (Oak)
ค.ศ.1993
ภาษาโอ๊คได้ถูกปรับปรุงใหม่เพื่อใช้ในการสร้างเว็บแอพพลิเคชั่น (Web Application) พร้อมกับสร้างเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) ที่รองรับ ชื่อว่าเว็บรันเนอร์ (Web Runner)
ค.ศ.1995
บริษัทซันได้เปิดตัวภาษาจาวา (Java) (ภาษาโอ๊คเดิม) พร้อมกับเว็บเบราว์เซอร์ ที่รองรับภาษานี้ ชื่อว่า ฮอตจาวา (HotJava) (WebRunner เดิม)
ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ทั้งเน็ตสเคบ (Netscape), ไมโครซอฟต์ (Microsoft), และ ไอบีเอ็ม (IBM)
บริษัทซัน ได้เริ่มแจกจ่าย Java development Kit (JDK) ซึ่งเป็นชุดพัฒนาโปรแกรมภาษาจาวาในอินเทอร์เน็ต



การโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP = Object-Oriented Programming)
การเขียนโปรแกรมที่ประกอบด้วยกลุ่มของวัตถุ(Objects) แต่ละวัตถุจะจัดเป็นกลุ่มในรูปของคลาส ซึ่งแต่ละคลาสอาจมีคุณสมบัติ การปกป้อง (Encapsulation) การสืบทอด (Inheritance) การพ้องรูป (Polymorphism)

แนวคิดของการโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP Concepts)
1. การปกป้อง (Encapsulation)
การรวมกลุ่มของข้อมูล และกลุ่มของโปรแกรม เพื่อการปกป้อง และเลือกตอบสนอง
2. การสืบทอด (Inheritance)
ยอมให้นำไปใช้ หรือเขียนขึ้นมาทดแทนของเดิม
3. การพ้องรูป (Polymorphism) = Many Shapes
– Overloading มีชื่อโปรแกรมเดียวกัน แต่รายการตัวแปร (Parameter List) ต่างกัน
– Overriding มีชื่อโปรแกรม และตัวแปรเหมือนกัน เพื่อเขียน behavior ขึ้นมาใหม่

คุณลักษณะเด่นของภาษา Java
–  ภาษา Java เป็นภาษาที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุแบบสมบูรณ์
–  โปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยใช้ภาษา Java จะมีความสามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ไม่จําเป็นต้องดัดแปลงแก้ไขโปรแกรม เช่น หากเขียนโปรแกรมบนเครื่อง Sun โปรแกรมนั้นก็สามารถถูก compile และ run บนเครื่องพีซีธรรมดาได้
–  เมื่อเปรียบเทียบ code ของโปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยภาษา Java กับ C++ พบว่า โปรแกรมที่เขียนโดยภาษา Java จะมีจํานวน code น้อยกว่าโปรแกรมที่เขียนโดยภาษา C++ ถึง 4 เท่า และใช้เวลาในการเขียนโปรแกรม น้อยกว่าประมาณ 2 เท่า
–  Java มี security ทั้ง low level และ high level ได้แก่ electronic signature, public andprivate key management, access control และ certificatesของภาษาจาวา


จุดเด่นของภาษาจาวาครับ
–  ความง่าย (simple)
–  ภาษาเชิงออปเจ็ค (object oriented)
–  การกระจาย (distributed)
–  การป้อ้องกันการผิดพลาด (robust)
–  ความปลอดภัย (secure)
–  สถาปัตัตยกรรมกลาง (architecture neutral)
–  เคลื่อนย้ายง่าย (portable)
–  อินเตอร์พ์พรีต (interpreted)
–  ประสิทธิภาพสูง (high performance)
–  มัลติเธรด (multithreaded)
–  พลวัต (dynamic)
ข้อดีข้อเสียของภาษา JAVA มีอะไรบ้าง???
ข้อดีของ ภาษา Java
ภาษา Java เป็นภาษาที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุแบบสมบูรณ์ ซึ่งเหมาะสำหรับพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อน การพัฒนาโปรแกรมแบบวัตถุจะช่วยให้เราสามารถใช้คำหรือชื่อ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบงานนั้นมาใช้ในการออกแบบโปรแกรมได้ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
โปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยใช้ภาษา Java จะมีความสามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ไม่จําเป็นต้องดัดแปลงแก้ไขโปรแกรม เช่น หากเขียนโปรแกรมบนเครื่อง Sun โปรแกรมนั้นก็สามารถถูก compile และ run บนเครื่องพีซีธรรมดาได้
-ภาษาจาวามีการตรวจสอบข้อผิดพลาดทั้งตอน compile time และ runtime ทำให้ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในโปรแกรม และช่วยให้ debug โปรแกรมได้ง่าย
ภาษาจาวามีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษา C++ เมื่อเปรียบเทียบ code ของโปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยภาษา Java กับ C++ พบว่า โปรแกรมที่เขียนโดยภาษา Java จะมีจํานวน code น้อยกว่าโปรแกรมที่เขียนโดยภาษา C++ ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่าและลดความผิดพลาดได้มากขึ้น
ภาษาจาวาถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูงตั้งแต่แรก ทำให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยจาวามีความปลอดภัยมากกว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้น ด้วยภาษาอื่น เพราะ Java มี security ทั้ง low level และ high level ได้แก่ electronic signature, public andprivate key management, access control และ certificatesของ
-มี IDE, application server, และ library ต่าง ๆ มากมายสำหรับจาวาที่เราสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการซื้อ tool และ s/w ต่าง ๆ

ข้อเสียของ ภาษา Java
-ทำงานได้ช้ากว่า native code (โปรแกรมที่ compile ให้อยู่ในรูปของภาษาเครื่อง) หรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น อย่างเช่น C หรือ C++ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาจาวาจะถูกแปลงเป็นภาษากลาง ก่อน แล้วเมื่อโปรแกรมทำงานคำสั่งของภาษากลางนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นภาษาเครื่องอีก ทีหนึ่ง ทีล่ะคำสั่ง (หรือกลุ่มของคำสั่ง) ณ runtime ทำให้ทำงานช้ากว่า native code ซึ่งอยู่ในรูปของภาษาเครื่องแล้วตั้งแต่ compile โปรแกรมที่ต้องการความเร็วในการทำงานจึงไม่นิยมเขียนด้วยจาวา
-tool ที่มีในการใช้พัฒนาโปรแกรมจาวามักไม่ค่อยเก่ง ทำให้หลายอย่างโปรแกรมเมอร์จะต้องเป็นคนทำเอง ทำให้ต้องเสียเวลาทำงานในส่วนที่ tool ทำไม่ได้ ถ้าเราดู tool ของ MS จะใช้งานได้ง่ายกว่า และพัฒนาได้เร็วกว่า (แต่เราต้องซื้อ tool ของ MS และก็ต้องรันบน platform ของ MS)

ต่อไปเราก็จะนำเสนอรูปแบบภาษาของ JAVA ครับบ
รูปแบบของภาษา Java
ภาษา Java เป็นภาษาที่ไม่กำหนดแบบการเขียนโปรแกรม ในแต่ละบรรทัด แต่ละบรรทัดสามารถเขียนคำสั่งได้หลายคำสั่งสามารถแทรกคำอธิบาย (comment) Java เป็นภาษาที่บังคับอักขระตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวพิมพ์เล็ก (Case Sensitiv) Java มีตัวดำเนินการ(operators) หลายชนิด ให้ใช้งานนอกจากคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งที่ผู้ใช้สร้างขึ้นมาใหม่ อาจกำหนดเป็นตัวพิมพ์ใหญ่หรือตัวเล็กก็ได้ และสามารถเขียนชุดคำสั่งที่ประกอบด้วยตัวดำเนินการหลายตัวที่ต่างชนิดกันในชุดคำสั่งหนึ่งๆได้ โดยภาษา Java จะจัดลำดับการประมวลผลตามลำดับการทำงานของตัวดำเนินการ
รูปแบบคำสั่ง(statements) Java คือ ส่วนประมวลผล(Execute) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมา ทุกคำสั่งจะต้องจบด้วยเครื่องหมาย เซมิโคลอน( ; )
รูปแบบของ script
ในการเขียน script สามารถเขียน โดยในรูปแบบที่ 1 ได้โดยไม่ต้องระบุภาษาก็ได้ แต่ต้องเขียน tag ของ script ดังรูป
<Script>
JavaScript statements;
</Script>
<Script>
document.write(‘kittisak’);
</Script>
ในการเขียน script ตามรูปแบบที่ 2 โดยระบุภาษาเป็น javascript และเขียนใน tag ของ script ดังรูป
<Script Language=”JavaScript”>
JavaScript statements;
</Script>
การคำสั่งแสดงผล single quote (‘ ‘)
ในการเขียนการแสดงผลข้อมูลที่อยู่หลังคำสั่ง document นั้นสามารถเขียนใช้เครื่องหมายในแบบ single quote (‘ ‘) ก็ได้ดังรูป
<Script Language=”JavaScript”>
document.write(‘kittisak’);
</Script>
การใช้ HTML ร่วมกับ script ขึ้นบรรทัดใหม่ โดยใช้ <br>
การกำหนดให้ขึ้นบรรทัดใหม่ ส่วนใหญ่จะใช้รูปแบบของ tag HTML คือ <br> โดยการใส่ไว้หลังคำสั่ง document อาจจะเป็นข้างหน้า หรือข้างหลังก็ได้
<Script Language=”JavaScript”>
document.write(‘kittisak<br;
document.write(‘<fontlor=”red”>khampud</font>’);
</Script>
Source Code
ใน Java จะมี Source Code เป็น File ที่มีนามสกุล เป็น *.java เมื่อ ผ่านการ Compile แล้วจะมี File เพิ่มมาเป็น File ที่มีนามสกุลเป็น *.class  System.out.println  (“….” ); เป็นคำสั่งที่ใช้การแสดงตัวอักษรซอร์สโค้ดโปรแกรมจาวาอยู่ในแฟ้มที่มีนามสกุล  java


และนี่ก็คือ blog ครั้งที่ 4 ของเดี๊ยนคงเป็นความรู้ให้กับทุกคนมากเลยนะคะ  ถ้าหากผิดพลาดตรงไหน อยากให้แก้ไขยังไงไหน หรือจะให้กำลังใจเดี๊ยน ก็สามารถมาเม้นท์กันได้นะคะ และจะเป็นไปไม่ได้เลยนะคะถ้าไม่มีเว็บที่ให้ความรู้ เดี๊ยนต้องขอขอบคุณ https://nongtha57.wordpress.com/%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%a1%e0%b8%b2-java/  มากๆที่ให้ความรู้ค่ะ